เทศน์พระ

หางตก

๓o มิ.ย. ๒๕๕๔

 

หางตก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ อีกหนึ่งปักษ์เข้าพรรษา การเข้าพรรษาเห็นไหม พระต้องอยู่จำพรรษาเพื่อจะได้เร่งรีบความเพียรไง จะเร่งความเพียร ในเมื่อเข้าฤดูฝนเราจะต้องหาประจำที่ ไม่ออกไปภายใน ๓ เดือน นี้อีกหนึ่งปักษ์ใช่ไหม ถ้ามันจะเข้าพรรษาเราจะหาที่อยู่เป็นประจำ เราจะเร่งรีบความเพียรของเรา

วันนี้วันอุโบสถ ถ้าอุโบสถศีลเห็นไหม เราลงอุโบสถเพื่อให้ระลึก ลงอุโบสถเพื่อความสะอาด เพื่อความมั่นคงของศีล เพื่อความมั่นคงของหมู่คณะ เพื่อสังฆกรรม นี่ลงอุโบสถอานิสงส์ของมัน

นี่ลงอุโบสถเป็นประเพณี ถ้าเราทำจริงทำจังนะ เราตั้งใจ เราทำจริงจังของเรา เราอย่าไปคุ้นชิน ถ้าเราคุ้นชินมันสักแต่ว่า ทำแต่พอเป็นพิธีแล้วทำให้มันผ่านไป แต่ถ้าเราจริงจังเห็นไหม เวลาเราบวชใหม่ เวลาลงอุโบสถเห็นไหม ฟังอุโบสถ เวลาท่องปาติโมกข์นะ ถ้าสวดดีๆ พระฟังมันจะซึ้งมาก มันซึ้งมาก

โลกเขาเวลาเขามีความรื่นเริงกัน เขาต้องมีมหรสพสมโภช เวลาเรารื่นเริงในธรรมเห็นไหม ความสงบสงัด ความระงับ ถ้าจิตใจมันระงับ ฟังปาติโมกข์เห็นไหม บอกถึงเครื่องอยู่ของเรา ศีล ๒๒๗ เป็นเครื่องอยู่ของเรานะ ถ้าเป็นเครื่องอยู่ของเรานะ สิ่งใดเห็นไหม โย ปน ภิกฺขุๆ เขาเตือนเราๆ มาตลอด ถ้าเราไม่ได้ทำความผิดพลาด แต่ในปัจจุบันนี้มันเป็นภาษาบาลี เราเป็นชาวไทยเห็นไหม เป็นภาษาไทย ความเป็นภาษาไทยทำให้เราเข้าใจภาษานั้นไม่ได้ ประเพณีของเราถึงได้ให้ปลงอาบัติกันก่อน

เวลาเราว่า โย ปน ภิกฺขุ เห็นไหม เวลาถาม ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ “เธอทำอย่างนั้นหรือเปล่าๆ” เราสาธุๆ กันมาตลอด ความสาธุของเราเห็นไหม เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่เราจะทำประเพณี แต่เราจะทำด้วยความจริงจังของเรา เราได้ฟังธรรมด้วย การฟังธรรมคือการเตือนสติกันนะ เวลาฟังเห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านเทศน์ แม้แต่ผู้เทศน์ ผู้เทศน์ด้วย เวลาเทศน์ออกไปฟังธรรม ธรรมที่เกิด ธรรมเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นสัตตะ เป็นภิกษุ เป็นสมมุติสงฆ์ สัตตะมีความเกี่ยวข้องอยู่

ความสัตตะ ผู้ข้อง ข้องในอะไรล่ะ ข้องในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามันกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลามันจองหองพองขนมันชูหางนะ มันยกหูชูหางเห็นไหม เพราะอะไร เพราะเราขาดสติ สิ่งนั้นทำไป ทำไปจนเป็นความคุ้นชิน ทำกันเป็นประเพณี เราต้องตั้งสติกัน เราเป็นพระกรรมฐาน เราเป็นพระป่านะ ถ้าพระป่า พระกรรมฐานเห็นไหม สิ่งนี้เป็นประเพณีของเรา

ประเพณีนะ โลกเขามีประเพณีวัฒนธรรมของเขา เราก็มีประเพณี เรามีอริยประเพณี อริยประเพณีเห็นไหม ดูสิ ธุดงควัตร ศีล ๒๒๗ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ แล้วศีล ๒๑,๐๐๐ ข้อ นี่เป็นศีลเห็นไหม ศีลนี้เป็นธรรมและวินัย ถ้าธรรมวินัยอย่างนี้ มันเพื่อปกป้องคุ้มครองดูแลเรา ถ้าปกป้องคุ้มครองดูแลเรา สิ่งนี้จะเป็นรั้วรอบหัวใจของเรา

เราจะพยายามหาตัวบ้าน ถ้าเราทำจริงจังของเราเห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีศีล ศีลเป็นความปกติของใจ เราจะเกิดปัญญา เกิดความมั่นคงของเรา ถ้าเกิดความมั่นคงของเราเห็นไหม นี่ฟังธรรม สิ่งที่ฟังธรรมของเรา ฟังธรรมเตือนสติของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาเราเตือนสติของเรานะ

ดูสิ สุนัขเห็นไหม ถ้ามันรู้ตัวว่ามันผิดนะ มันหางตกทันทีเลยนะ แต่ถ้ามันไม่รู้ตัวนะ ดูสิ ดูมันพองขนเห็นไหม มันจะกัดนะ โอ้โฮ มันพองทั้งตัวเลย เวลากิเลสมันอยู่ในใจเรานะ เราไม่มีสติตามมันทัน มันเป็นอย่างนั้น แต่เราไม่รู้ไม่เห็น เราไม่รู้นะ เราไม่รู้เพราะอะไร เราไม่รู้เพราะความคิดเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา ความคิดเป็นเรา เราว่าเราคิดดีคิดถูกไง อวิชชามันปิดหัวใจเราไว้ ถ้าอวิชชามันปิดหัวใจเราไว้ เราคิดสิ่งใด เราทำสิ่งใด เราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นความถูกต้องดีงามไปหมด

ความถูกต้องดีงาม เวลาความถูกต้องดีงามเห็นไหม มุมมองเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํง เวลามุมมองนะ สัจธรรม หยาบละเอียดมันแตกต่างกันนะ ทำสิ่งนี้เราถึงเวลาเห็นไหม อย่างเช่นการทำอุโบสถ อุโบสถเห็นไหม สงฆ์เขาทำกรรมไม่ได้ เราจะต้องมาพร้อมกันหมด ผู้ใดมาไม่ได้ต้องให้ฉันทะมา ต้องบอกมา ต้องบอกกล่าวมาว่ามาไม่ได้ ต้องฝากใครมา

ถ้าไม่ฝากใครมานะ เราลงอุโบสถนะ ถ้าสงฆ์เป็นวรรคมาไม่พร้อมกันเห็นไหม ดูสิ เวลาทางโลกประชาธิปไตยเห็นไหม เสียงข้างมาก แต่เวลาธรรมเวลาบวชเห็นไหม ฉันทามติ ไม่ใช่เสียงข้างมาก ทั้งหมด ค้านแม้แต่เสียงเดียวก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข

ฉะนั้นเวลาสงฆ์เป็นวรรคทำกรรมไม่ได้ เวลาอุโบสถศีล เราต้องมาทั้งหมด เว้นไว้แต่กิจนิมนต์ เขานิมนต์เฉพาะ เห็นไหม ๕ องค์ ๑๐ องค์ กิจนิมนต์ของเขา แต่สังฆกรรมเห็นไหม ดูสิ เวลากฐินเวลาอุโบสถเราต้องมาร่วมกันทั้งหมด แล้วถ้าค้านขึ้นมา นี่มุมมอง เวลาค้านขึ้นมา เวลาทำอุโบสถนะ สิ่งนั้นทำได้ สิ่งนั้นทำไม่ได้ แล้วเวลาค้านขึ้นมา มุมมองของคนมันไม่เหมือนกัน

ถ้ามุมมองของคนไม่เหมือนกัน ดูสิ เวลาสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามาบวชนะ มาหลากหลายนัก เวลามาบวชแล้วกลายเป็นสีขาวหมดเห็นไหม ลงอยู่ในธรรมวินัยหมด ถ้าลงอยู่ในธรรมวินัยหมด สิ่งนี้มันอยู่ในธรรมวินัย แต่มาหลากหลายใช่ไหม มาหลากหลายมาจากต่างมุมมองใช่ไหม สิ่งนี้ถูกหรือผิดล่ะ สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดต่างๆ ถูกผิดเห็นไหม ความหยาบความละเอียด

ถ้าความหยาบความละเอียดเกิดขึ้นมา สิ่งนี้มันขัดแย้ง มันไม่ลงใจเรา ถ้าไม่ลงใจเรา เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล สิ่งนั้นถ้ามันลงกันได้ เราควรพูด ธรรมสากัจฉา ความเป็นธรรมเป็นมงคลนะ แต่ถ้ามันพูดแล้วพูดไปกันไม่ได้ มันมีความขัดแย้งเห็นไหม ถ้าวุฒิภาวะเราดีกว่า เราสูงกว่า เราค้านไว้ในใจ

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามีพระไปฟ้องไง บอกว่าที่นั่นทำอย่างนั้นๆ “แล้วทำไมเธอค้านๆ ไม่ได้” ให้ค้านไว้ในใจ ถ้าค้านไว้ในใจหมายความว่า ถ้าเราค้านไว้ในใจในความรู้สึกเราว่า “สังฆกรรมนี้ ถ้าทำไปแล้วมันเป็นโมฆียะ มันเป็นโมฆะ” สิ่งใดมันไม่ถูกต้องดีงาม ถ้าเราพูดไปมัน.. นี่คือวินัย

แต่ธรรมล่ะ ธรรมคือความกระทบกระเทือนคือความแตกแยก ถ้ามันกระทบกระเทือนมันแตกแยกกันเราไม่พูด แต่ถ้าเราไม่ค้านไว้ในใจ เรามีส่วนร่วมเห็นไหม เรามีกรรมร่วมกันไปเห็นไหม นี่ไงสายบุญสายกรรม ถ้าสายบุญสายกรรมเราค้านไว้ในใจ สิ่งนี้ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเขาทำขึ้นมา หมู่คณะสิ่งนี้เขาทำขึ้นมา เวลาเขาไปเห็นถูกเห็นผิดเข้า เขาก็จะพัฒนามาที่เราเห็นไหม

นี่เครื่องดำเนินไปนะ ถ้ามันรู้ ถ้าจิตมันรู้นะ จิตมีสติรู้ หางตกนะ หางตกคือความเศร้าใจไง เวลาเราทำผิด เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ที่มันมีความผิดพลาด เราสะเทือนใจนะ มันเศร้าใจ พอมันเศร้าใจ ธรรมสังเวช

มันเป็นธรรมนะ ความเศร้าใจอะไรต่างๆ นี้ เราเศร้าสร้อยหงอยเหงาไปเลย ความเศร้าใจไม่ใช่หงอไง สุนัขเวลามันกัดกันนะ ถ้ามันสู้กันไม่ได้ มันจะนอนหงายท้องเลย ยอมแพ้ๆ ตัวหนึ่งจะไม่กัดจะไม่ทำลาย เพราะอีกตัวหนึ่งมันยอมแล้ว

จิตใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา มันรู้เท่า มันรู้เท่านะ มันเศร้าใจเห็นไหม ธรรมสังเวช มันเป็นธรรม แล้วสังเวชเห็นไหม สังเวชตรงไหน สังเวชที่ว่าถ้าขาดสติแล้วมันมีแต่ความทิฏฐิมานะ มันอหังการ มันพองขน มันชูหาง มันว่ามันถูกต้องดีงาม

แล้วความถูกต้องดีงามกับความถูกต้องดีงาม มันกระทบกระเทือนกันเห็นไหม พอมันกระเทือนกัน เราไม่เข้าใจเห็นไหม เวลามันพองขน มันชูหาง มันปะทะกัน แต่ถ้าพอเรารู้ว่าผิด ขนนั้นมันยุบหมดเลย หางที่ชูอยู่มันตกเลยนะ นี่ไงหางตก ถ้ามันหางตกเรามีสตินะ เรามีสติกิเลสมันเป็นอย่างนั้น กิเลสมันหางตกเลย พอมันหางตกขึ้นมา มันรู้ของมัน มันรู้ของมันมันสะเทือนใจของมัน นี้คือการแก้ไข นี้คือปัจจัตตัง นี้คือสันทิฏฐิโก

ถ้าจิตมันแก้ไข มันรู้ของมัน เรามาทำอะไรกัน เราบวชกันมานี้เห็นไหม ดูสิ จะเข้าพรรษาอยู่แล้ว อีกหนึ่งปักษ์ก็จะเข้าพรรษา แล้วเข้าพรรษาเราจะรีบเร่งขวนขวายของเรา เพื่อให้จิตใจของเรามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ถ้าจิตใจเรามีหลักมีเกณฑ์นะ อยู่ไหนก็อยู่ได้ ความเป็นอยู่ของเรานะ โลกนี้เป็นอย่างนี้

เขาไม่บวชนะ คนที่เขาไม่บวชเข้ามา เขาเป็นคฤหัสถ์ของเขา เขาก็ดำรงชีวิตของเขาชีวิตหนึ่งนะ เราบวชเข้ามาเห็นไหม เราเป็นนักพรต เราเป็นศากยบุตร เราเป็นพุทธชิโนรส เราเป็นลูกหลานชาวศากยะ เราเป็นลูกหลานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาของเรา อาจารย์เอกของโลก อาจารย์ใหญ่ของเราคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ดูสิเขาเคารพนับถือกันทั่ววัฏฏะ

ไม่ใช่แต่ในโลกนี้นะ เทวดา อินทร์ พรหม ก็เคารพนับถือ แล้วเราเป็นผู้มีศรัทธา มีความเชื่อ เราเสียสละเห็นไหม โลกเขานะ เขาก็ใช้ชีวิตหนึ่งเหมือนกัน เขาทุกข์ยากนะ เขาจะมีความสุขรื่นเริงของเขาในความเห็นของเขา ถ้าเขาประกอบสัมมาชีวะประสบความสำเร็จ เขาก็มีความสุขความพอใจของเขา นั่นคือความเห็นของเขา ความเห็นของเขา

แต่เวลาเขาแก่เขาเฒ่าขึ้นมาเห็นไหม เขาจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ เขาจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป เวลาแก่เฒ่าขึ้นมาก็อยากจะบวช อยากจะมีอริยทรัพย์ อยากจะมีเครื่องผ่อนคลาย อยากจะมีหัวใจร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม นี่หางตกเหมือนกัน เวลาเขารู้ตัวขึ้นมาเขาหางตกนะ ใช้ชีวิตทั้งชีวิต อุตส่าห์ทำมาเพื่อเป็นสมบัติของเรา มันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา มันเป็นเครื่องอาศัยทั้งนั้นเลย หามาได้ขนาดไหน ก็หามาได้เป็นสมบัติสาธารณะ เสียไปเท่าไหร่ บำรุงศาสนาไปเท่าไหร่ บำรุงชาติไปเท่าไหร่ บำรุงต่างๆ แล้วเหลือมันก็บุญเป็นอามิสไง แล้วสิ่งที่เป็นคุณงามความดีมากกว่านี้เห็นไหม ถ้าคุณงามความดีมากกว่านี้ เหมือนพวกเราที่มีหูมีตา ที่หูตาสว่างอยู่นี้ไง

เราหูตาสว่างอยู่นี้ เรามาตั้งใจอยู่นี้ แล้วเราก็มองไปทางโลกสิ เขามีความสุข เขามีความรื่นเริง เรามีความทุกข์ เรามีแต่ความลำบากลำบน มันลำบากขนาดไหน มันก็ลำบากเพื่ออริยทรัพย์ มันจะเอาทรัพย์ภายในมันก็ต้องตั้งใจหน่อย มันก็ต้องมีสติปัญญาของเราเห็นไหม ถ้ามีสติปัญญามันรู้ทัน พอมันรู้ทัน ทั้งชีวิตของเขา เขามารู้ตัวต่อเมื่ออายุขัยเขาใกล้ฝั่ง เขาหางตกเลย

ไอ้เราล่ะ ไอ้เราอยู่ปฏิบัติปัจจุบันนี้ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ากิเลสมันไม่พองตัวขึ้นมา มันก็หางตกเหมือนกัน สิ่งที่หางตกเป็นธรรมสังเวช โลกเขาเป็นกันอย่างนั้น โลกเขาใช้ชีวิตกันของเขาอย่างนั้น เราก็ใช้ชีวิตของเรา ถ้าเราใช้ชีวิตของเราเห็นไหม เราเป็นนักพรต เราเป็นนักบวช เราเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยโดยการศึกษาว่า อะไรเป็นภัย อะไรไม่เป็นภัย

แล้วในปัจจุบันนี้เวลาเราเข้ามาในหัวใจของเรา มันเป็นภัยไหม ถ้ากิเลสมันเป็นภัยกับเรา ถ้ามันเป็นภัยกับเราเห็นไหม มันชูหาง ชูหางหมายถึงว่ามันเพลินไง มันชูหางคือขาดสติไง มันชูหางคือมันเพลิดเพลินไป คึกคะนองไปกับวัฏฏะ มันไม่ย้อนกลับมาเป็นมรรค มันไม่ย้อนกลับมาเป็นความจริง ถ้ามันย้อนกลับมาเป็นความจริงเห็นไหม เวลามันก็คือเวลาเหมือนกันนั่นแหละ แต่จิตใจเรามีสติปัญญาขึ้นมา มันมีสติปัญญา เห็นไหม

เวลาจิตเราดีแล้ว เรานั่งสมาธิภาวนา จิตเราดีเรามีความร่มเย็นเป็นสุข เวลาจิตเราฟุ้งซ่าน เวลาจิตเราถดถอยขึ้นมา มันทุกข์ยากขนาดไหน ก็จิตดวงเดียวนี่แหละ จิตดวงเรานี่แหละ จิตหัวใจเรานี่แหละ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เวลามันดีขึ้นมา เราก็มีความสุขร่มเย็น เราก็มีหลักมีเกณฑ์ เวลามันร้ายขึ้นมา มันทำลายไปหมดเลย

ถ้ามันทำลายเห็นไหม พอมันทำลาย นั่นแหละมันพองขน พอมันพองขนขึ้นมา มันอหังการขึ้นมา แต่มันทำใครอ่ะ คำว่าทำร้ายเห็นไหม พองขนแต่ทำลายตัวเองเห็นไหม แต่ถ้ามีสติเห็นไหม มันไม่พองขน มันหางตก พอมันหางตกขึ้นมา มันไม่ทำอะไรเรา มันพร้อมใจ ใจเราพร้อมขึ้นมา เรามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาเห็นไหม มันจะรักษาตัวมัน นี่ธรรมสังเวช

ถ้ามีธรรมสังเวชนะ เราจะมีสติ เราจะไม่ทำอะไรผิดพลาดจนเกินกว่าเหตุ ไอ้ความผิดพลาดของคน ดูสิ เราหยิบของขึ้นมา เราเผลอมันก็หลุดไม้หลุดมือไปเป็นธรรมดา นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตประจำวันมันก็มีความผิดพลาด ความผิดพลาดเห็นไหม ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เรายังมีการดำเนินการอยู่ แต่ความผิดอย่างนี้มันไม่เจตนา ไม่มีสิ่งใด มันผิดแล้วมันไม่กระทบกับใคร

แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลสนะ เป็นการวางยากัน เป็นการขุดหลุมพรางกัน เวลามันผิดพลาดขึ้นมา มันเสียใจนะ เสียใจเพราะอะไร ดูสิเวลาหมา ๒ ตัวมันกัดกันเห็นไหม ถ้าตัวหนึ่งมันยอม มันนอนหงายท้องขึ้นมา อีกตัวหนึ่งยังไม่ทำเลย แล้วนี่มนุษย์เหมือนกัน มันทำอย่างนี้มันเสียใจไง ถ้ามันเสียใจเพราะอะไร เพราะมันมีเจตนา มีการกระทำ มีเวรมีกรรมต่อกัน

แต่เมื่อเราผิดพลาดของเรา มันเป็นตัวของเราเอง ผลมันมาที่เราเอง แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะเห็นโทษของเราเอง เห็นโทษว่ามันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะว่าเราขาดสติ ถ้าเราขาดสติมันผิดแล้วหนหนึ่งใช่ไหม วันหลังอย่าทำ วันหลังอย่าเป็นอย่างนี้อีก มันก็แก้ไขของมันไปเห็นไหม มันจะฝึกฝน

การฝึกฝนการกระทำขึ้นมานี้งานภายในนะ งานของสมณะเราเห็นไหม ศีลธรรมเป็นสมบัติของพระ ศีลและธรรมนี้เป็นสมบัติของเรา สมบัติของเราจะไม่มีข้าวของเงินทองเหมือนเขา สิ่งที่เขาบริจาคมา สิ่งที่เขาทำมาเห็นไหม มันก็เป็นสมบัติสาธารณะ มันเป็นอาวาส เป็นที่อยู่ของอารามิกเป็นผู้ไม่มีเรือน พวกเราไม่มีเรือนนะ ถ้าอยู่ก็อยู่เรือนว่าง เราอยู่ในเรือนว่าง เราอยู่ในป่า อยู่ในอะไรต่างๆ เห็นไหม เราไม่ต้องอาศัยแบบโลกเขา สิ่งนี้เป็นสมบัติสาธารณะ แล้วมันเป็นสมบัติเราไหมล่ะ ถ้าเป็นสมบัติเรานะ ทำไมมันต้องพลัดพรากจากเราไปล่ะ ทำไมเราต้องตายจากมันไป เวลาเราสิ้นชีวิตเราก็ต้องตายจากมันไป โลกเขาก็เป็นเหมือนกันนี่แหละ แต่มุมมองมันไม่เหมือนกัน

มุมมองของโลกเขาเห็นไหม เขาถือสิทธิ โลกเขาเป็นสมมุติ เขาสมมุติเขียนกฎหมายกันขึ้นมา คนนี้ตายไปเป็นมรดกตกทอดให้ลูกให้หลานให้สายเลือดโดยกฎหมาย

แต่ทางพระเราล่ะ ทางพระเรามันเป็นอะไร ทางพระเราเป็นธรรมวินัยใช่ไหม ภิกษุถ้ามีผู้อุปัฏฐากอยู่ ครูบาอาจารย์ที่เสียชีวิตไป บริขาร ๘ นั้นตกทอดถึงผู้อุปัฏฐากไง เว้นไว้แต่ไม่มีผู้อุปัฏฐากใช่ไหม ของของนั้นตกเป็นของสงฆ์ สงฆ์ให้แบ่งกัน ให้เจือจานต่อกัน ให้แบ่งกันในสงฆ์นั้นให้เป็นธรรม นี่พูดถึงวินัยเห็นไหม ของมันตกอยู่ในสาธารณะ

แต่ถ้าเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา มันตกอยู่กับใคร สิ่งที่เราปฏิบัติมันตกอยู่กับใคร จิตได้สัมผัสมันตกกับเรานะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าหางตกมันจะเป็นประโยชน์นะ ก็หางตกมันจะย้อนทวนกระแสเข้ามาสู่ใจ ถ้ามันชูหาง มันส่งออก มันส่งออก ส่งออกไปข้างนอก พอมันส่งออกไปข้างนอก มันเป็นประโยชน์กับใคร โลกนี้เขาเป็นกันอย่างนี้อยู่แล้ว

ดูสิ การบริหารจัดการเห็นไหม มหาบุรุษต่างๆ เขาทำอย่างไร เพราะเขาบริหารจัดการ เขาทำของเขาเพื่อบริหารจัดการให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เขาได้เป็นมหาบุรุษ แบบครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า จะไม่มีใครเลิศกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า นี่มันเลิศที่ไหน โลกเขาบอกว่าเป็นมหาบุรุษ ตามประวัติศาสตร์เห็นไหม แต่ในธรรมของเรา ในธรรมของเรา เวลาของเราเห็นไหม ครูบาอาจารย์เราท่านหวังสิ่งใด ท่านไม่ได้หวังสิ่งใดเลย เพราะสิ่งนี้เป็นผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายเป็นผลของวัฏฏะ สิ่งที่ทำมามีชื่อในประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง ประวัติศาสตร์เห็นไหม ถ้าเราเป็นคนสร้างประวัติศาสตร์ เกิดตายๆ เราก็มาศึกษาประวัติศาสตร์เราเองนี่แหละ เราเกิดตายขึ้นมา เราเกิดมาชาติหนึ่ง เราได้สร้างคุณงามความดีไว้ เขาจดเป็นประวัติศาสตร์ไว้

เวลาเราตายไป เรามาเกิดใหม่เป็นนาย ก. นาย ข. นาย ง. เกิดมาก็มาศึกษาสิ่งที่ตัว ไม่รู้ตัวเองนะ ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองตายไปเกิดมาก็มาย่ำที่เก่าของตัว นี่ไง ภพชาติ เพราะเราไม่มีสติปัญญาจะรู้ได้ เวลาเราไม่มีสติปัญญาที่จะรู้ได้ แต่เราปฏิบัติไปมันรู้ได้ ยิ่งมันรู้ได้นะ ครูบาอาจารย์เวลาปฏิบัติไปจิตก็ต้องสงบขึ้นมา ท่านย้อนอดีตชาติของท่านขึ้นมา มันเศร้าใจนะ มันเศร้าใจ ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้ๆ แล้วก็เวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้

แต่เวลาเราเกิดขึ้นมา สดๆ ร้อนๆ มันเป็นของใหม่ตลอดเวลา มันไม่เวียนตายเวียนเกิด มันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันมันหลงใช่ไหม มันหลงปัจจุบันมันก็เป็นอดีตอนาคตใช่ไหม อนาคตจะดีอย่างนั้น พรุ่งนี้จะดี มะรืนจะดี ชาติหน้าจะดี มันก็ว่ากันไปเห็นไหม โลกพูดกันอย่างนั้นจริงๆ โลกเขาบอกเลย เขาต้องการทำบุญกุศลไว้ เพื่อไปพบพระศรีอริยเมตไตรย เพื่อจะได้ปฏิบัติง่าย รู้ง่าย เวลาส่งมันส่งไปนู่น

แล้วปัจจุบันนี้ล่ะ ปัจจุบันนี้ถ้าเราทำของเราดีนะ พระศรีอริยเมตไตรยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระสมณโคดมของเรา มันก็อันเดียวกัน อันเดียวกันที่ตรัสรู้อริยสัจเหมือนกัน มรรคผลมีหนึ่งเดียว ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม พูดถึงเวลาในภัทกัป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอริยสัจเหมือนกัน พระศรีอริยเมตไตรยก็อริยสัจเหมือนกัน อริยสัจเหมือนกัน ความว่างเหมือนกันนะ ความว่างเหมือนกัน ถ้ามันพิจารณามันพิจารณาเหมือนกัน แล้วถ้าเหมือนกันในปัจจุบันนี้ทำไมไม่ทำ

ในปัจจุบันนี้ก็อยากจะทดลองชีวิตไง อยากจะใช้ชีวิต อยากจะสัมผัส อยากจะรับรู้ว่ามันจะแค่ไหนไง มันแค่ไหนนะ ถ้าเวลามันทุกข์ขึ้นมานะ มันดีขึ้นมามันก็ชั่วคราว พยับแดด แต่เวลามันทุกข์ขึ้นมามันเจ็บช้ำน้ำใจ ความเจ็บช้ำน้ำใจถ้าเราไม่มีสติปัญญาเห็นไหม เราเสียใจดีใจไปกับเขา

ครูบาอาจารย์ท่านสอนประจำ เราจะยุบยอบไปกับเขา เราจะพองไปกับเขา เขาดีเราก็ดีใจไปกับเขา เขาเสียใจเราก็ร้องไห้ไปกับเขา เราจะต้องเจ็บช้ำน้ำใจไปกับเขาทุกๆ อารมณ์เลย นั่นเพราะเขาพอใจของเขา เขาทำของเขา แล้วเราล่ะ เราเป็นอย่างนั้นไหม เราก็เป็นอย่างนั้นมาตลอดแล้ว ถ้าเราเป็นอย่างนั้นมาตลอดแล้วนะ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงมาบวชเป็นภิกษุ ภิกษุเป็นผู้ขอ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร

ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสารนะ มันไหม้เข้ามาตลอดนะ ดูไฟไหม้ฟางสิ เห็นไหม ไฟสุมขอนมันค่อยๆ ลามไปๆ นะ จนกว่าขอนนั้นมันจะหมด ชีวิตนี้เห็นไหม ตั้งแต่ทุกข์มา มันเผาลนมาเห็นไหม มันเผาลนมาจนถึงหมดอายุขัย แล้วมันก็ตายไป เวลามันตายไปนะ เวลามันตายไปได้ชีวิตใหม่ ได้ภพใหม่ แล้วภพใหม่มันเป็นอย่างไรล่ะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าทำดีของเรา เราเกิดมาเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนา เราถึงได้มาทำบุญกุศลกัน เพื่อถ้ามันเกิดก็ขอให้บุญพาเกิด ให้มีบุญพาเกิด มีผู้จุนเจือ มีผู้ดูแล มีผู้รักษา มีหมู่มีคณะ มีผู้จุนเจือกันไป

แต่ถ้ามันบาปพาเกิดนะ ถ้าบาปพาเกิด เกิดเป็นมนุษย์ได้ไง บาปพาเกิดก็ไปเกิดในนรกอเวจีสิ นรกนี่เกิดแน่นอน เห็นไหม มันผลของวัฏฏะ ถ้ามันลงนรกอเวจีแล้ว มันใช้กรรมหมดแล้วมันจะไปไหน มันก็ผ่อนคลายขึ้นมา ผ่อนคลายขึ้นมา ผ่อนคลายเพราะอะไร ผ่อนคลายเพราะเราก็ทำดีมาเหมือนกัน เราใช้กรรมหมดแล้ว เราใช้เวรกรรมนั้นขึ้นมา มันก็ผ่อนคลายขึ้นมา แล้วเวลาเกิดเห็นไหม ทุกข์ๆ ยากๆ

ความทุกข์ๆ ยากๆ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ทุกข์ยากขนาดไหน คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด! คนเราดีเพราะมีสติปัญญา เรามีสติเห็นไหม เวลาเกิดขึ้นมาแล้ว ทรัพย์ที่ประเสริฐที่สุดเห็นไหม มนุษย์สมบัติ ถ้ามนุษย์สมบัติแล้ว นี่เราบวชด้วย เป็นมนุษย์สมบัติด้วย เป็นศากยบุตรด้วย เป็นมนุษย์สมบัติ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราได้เข้ามาเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะต้องทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามันทำจนจิตมันเป็นความจริงขึ้นมานะ มันรู้มันเห็นมันเข้าใจหมดล่ะ

ถ้ามันรู้มันเห็นมันเข้าใจเห็นไหม มันมีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญา ทำสิ่งใด จะทำสิ่งใดมีสติพร้อม จะทำสิ่งใดนะมีสติปัญญาตามนั้นไป แต่ที่เราทำกันผิดพลาดอยู่นี้ เพราะเราขาดสติ พอมันขาดสตินะ อวิชชามันโหมใส่นะ อวิชชามันกระทืบซ้ำ เวลาเราผิดพลาดขึ้นมา นั้นก็ดี นี่ก็ถูกต้อง ในเมื่อผิดแล้วก็แล้วกันไป ทำให้มันหนักหนาสาหัสเข้าไปเห็นไหม

เวลาผิดพลาดขึ้นมา อวิชชามันโหมกำลังใส่ซ้ำไปเลย ถ้าซ้ำไปเลยเห็นไหม แล้วเราทำไปมันก็หนาไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ ทุกอย่างมันต้องแก้ไข ถ้ามันแก้ไขได้นะ มันฟื้นมาได้ สิ่งที่ฟื้นมาได้ ถ้ากิเลสมันหางตกนะ มันเป็นประโยชน์กับเรา ถ้ากิเลสมันหางตก สติมันก็มาพร้อม ถ้าเราสำนึกได้ ความสำนึกนั้นมันมาพร้อมกับสติปัญญา เพราะสิ่งที่จะหางตกได้มันต้องมีเหตุสิ

ถ้ามันไม่มีความรู้สึกหางมันจะตกได้อย่างไร หางของกิเลสมันชูอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะมีสติมีปัญญา พอมีสติปัญญาสำนึกได้ หางมันก็ตก ถ้าหางมันตกแล้วเห็นไหม เราระลึกได้ เราแก้ไขเรา ถ้าเราแก้ไขของเรานะ พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ พุทโธของเราไปเรื่อยๆ มันจะทุกข์มันจะยากนะ

เขาบอกว่า “พุทโธนี่มันยากมาก ทำอะไรมันยากมาก” ป่ารกชัฏ เราจะปรับพื้นที่ ทำเป็นสวนไร่นา มันก็ต้องลงแรงหน่อยหนึ่ง แต่ถ้ามันเป็นสวนเป็นไร่เป็นนาอยู่แล้ว เราจะต้องไปล้มป่าไหม พุทโธใหม่ๆ ป่ามันรกชัฏ กิเลสมันกล้าแข็ง มันก็ต้องลงทุนลงแรง ก็ต้องพุทโธชัดๆ ต้องต่อสู้กันรุนแรงหน่อยหนึ่ง

แต่ถ้าเราต่อสู้รุนแรงจนเราล้มได้ เราล้มป่าเห็นไหม ป่าคือตัณหาความทะยานอยาก ล้มป่าไม่ได้ตัดต้นไม้ต้นเดียว ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ตัดป่าทั้งป่าเลยไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ตัดทิฏฐิมานะ ตัดความเห็นผิด ล้มมันไป พอล้มมันไปเห็นไหม มันอ่อนลงๆ พุทโธมันก็ง่ายขึ้น พุทโธมันไม่ได้ยากอย่างนี้ตลอดไปนะ ไม่ใช่ว่าพุทโธตั้งสติแล้วมันจะทุกข์อย่างนี้ตลอดไป มันจะล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ตลอดไป เราจะไม่โตขึ้นมาเลยหรือ จิตใจนี้มันจะอ่อนแออย่างนี้ไปตลอดหรือ จิตใจนี้มันไม่เข้าแข็งขึ้นมาเลยหรือ

ถ้าจิตใจนี้มันเข้มแข็งขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่ว่ามันทุกข์มันยากมันก็เบาลง เวลาทำงานนะ คนทำไม่เป็น คนทำงานไม่ได้ มันก็ลำบากลำบนไปทั้งนั้น แต่ถ้าคนมันทำงานได้ คนมันทำงานเป็นของมันบ้าง งานอะไรมันเบาลงทั้งนั้น มันทำของมันได้ จิตก็เหมือนกัน ถ้าหางมันตกแล้ว เราพุทโธของเรา ไม่ใช่หางมันตกแล้ว ตกแล้วทำไงล่ะ ตกแล้วจะเอาไปต้มยำเหรอ พอหางมันตกแล้วจะเอาไปต้มยำทำแกงอะไรกัน นั่นมันเป็นสัตว์ มันเป็นสุนัข ชนชาติใดเขาจะกินมันก็เรื่องของเขา นี่เราไม่ใช่

นี่พูดถึงบุคลาธิษฐาน พูดถึงเวลาทิฏฐิมานะอหังการขึ้นมามันเป็นแบบนั้น แล้วเห็นแล้วภาพมันชัดไหมล่ะ เวลามันหางตกขึ้นมาเห็นไหม เวลามันหางตกขึ้นมา กิเลสหางตกขึ้นมา มันก็เป็นสติปัญญาของเรา

ครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ สติปัญญาไม่ใช่เอาไว้หุงต้มแกงกินนะ เอาไว้แก้กิเลส ไอ้ปัญญาที่เอาไว้ต้มแกงกินนั้นมันแม่ครัว ไอ้เรานี้มันมีอริยมรรค มันจะหาสัจจะความจริง มันจะหาความจริงขึ้นมาในหัวใจ มันจะมาแก้ไขเรา ถ้ามันแก้ไขเรานะ ถ้าเราไม่ได้แก้ไขเรา ใครจะแก้ไขเรา นี่สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง

ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก การประพฤติปฏิบัติมันมีเทคนิคของมัน คนที่ภาวนาเห็นไหม เขาจะรู้เทคนิค รู้ระยะ รู้กาละ รู้เทศะ สิ่งที่เราปฏิบัติกันนะ มันมั่ว มันมั่วนิ่มๆ เป็นอย่างนั้น จิตสงบก็พิจารณากายสิ ..แล้วพิจารณาอย่างไร เพราะมันมั่วนิ่มมันก็เลยมั่วกันไปหมดเลย

แต่ถ้าเราทำของเราได้ใช่ไหม จิตสงบมากน้อยแค่ไหน ถ้าจิตมันสงบไม่ลึกซึ้ง เราพิจารณาก็พิจารณาตรึกในธรรม พิจารณาธรรม พิจารณาสัจจะในชีวิตเห็นไหม หางมันก็ตก พอหางมันยิ่งตกมากขึ้น มันรู้ถึงผิดชอบชั่วดีมากขึ้นนะ

เราถามชีวิตเราสิ เราสำนึกในชีวิตเราสิ พอมันหางตกนะ จิตมันวิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ มันไม่พองขน ไม่ชูหาง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน มันรักษาจิตของมัน นี้ถ้าจิตของมันใช้ปัญญาเรื่อยๆ นะ ถ้าเป็นขณิกสมาธิจนจิตมันสงบมากขึ้นๆ จนเป็นอุปจาระ อุปจาระพอมันออกรู้ พิจารณาอย่างนี้แล้วพิจารณาตรึกในธรรม ตรึกในธรรมคืออะไร คือสัจธรรม

สัจธรรมคืออะไร? สัจธรรมคือธรรมะที่มีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะที่เป็นสัจธรรม แต่มันยังไม่กระเทือนกิเลสไง มันยังไม่สะเทือนหัวใจของเราไง แต่เราพิจารณาบ่อยครั้งเข้าๆ มันสงบมากขึ้นมากขึ้นๆ จิตใจละเอียดมากขึ้น พอจิตใจละเอียดมากขึ้นมันก็เปิดลิ้นชักอ่ะ สิ่งที่เป็นสังโยชน์ สิ่งที่เป็นทิฏฐิมานะ มันอยู่กับภวาสวะ อยู่กับภพ อยู่กับใจ เราเปิดลิ้นชัก พอมันพิจารณากาย พอมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันสะเทือนนะ ถ้าได้เปิดลิ้นชักนะ พอเปิดลิ้นชักขึ้นมามันสะเทือนหัวใจ ถ้าสะเทือนหัวใจเห็นไหม เวลาพิจารณาไป โอ้โฮ มันพองหมดนะ ขนมันพองหมดเลย มันสะเทือนหัวใจ

ถ้ามันสะเทือนหัวใจ เราพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พิจารณาบ่อยครั้งเข้าๆ มันจะถอดมันจะถอนไง เห็นไหมปัญญาที่มันเกิดขึ้น มันไม่ใช่มั่วนิ่มๆ

ไอ้นี่มั่วไปหมดเลย “จิตสงบก็พิจารณาสิ พุทโธไปเรื่อยๆ พอจิตสงบก็พิจารณากายสิ”

..แล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ? มันมั่วนิ่ม พอมั่วนิ่มขึ้นมาเราก็ละล้าลังนะ ผู้ปฏิบัตินี่ละล้าละลัง ถ้าอาจารย์ของเราพูดไม่เด็ดขาด ไม่จริง แล้วเราทำอย่างไร เราก็ละล้าละลังไง จะไปหน้าก็ไปไม่ได้ จะถอยหลังก็ถอยไม่ได้ เอ๊ะ มันก็กึ่งๆ อยู่อย่างนี้ มันไปหน้าก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้ามันไปหน้าไม่ได้ มันถอยไม่ได้ ก็มันไม่แน่ใจ มันไม่แน่ใจเพราะอะไร ไม่แน่ใจเพราะเราไม่รู้จริง แล้วพอเราไม่เห็นจริง ถ้าเราไม่เห็นจริง เราก็พยายามทำความสงบของมันให้มันชัดเจนขึ้นมา เห็นไหมจะล้มป่า ถ้าเราจะล้มป่ามันลำบากขนาดไหน เราจะล้มป่า

แต่ถ้าเราได้ล้มป่า เราได้ทำเป็นไร่เป็นสวนขึ้นมาแล้วนะ เราดูแลรักษาเฉยๆ พอเป็นสวน เราจะเก็บผลนะ ปลูกเงาะ ปลูกทุเรียน จะทำป่าขึ้นมา กูจะเกี่ยวข้าว จะได้ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ได้ทั้งนั้น

ถ้าเราทำของเรา ถ้าเราพิจารณาของเรา ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา ถ้ามันเห็นเวทนา เห็นกาย เห็นจิต เห็นธรรม มันเห็นต้นข้าวแล้วนะ มันเห็นทุเรียนแล้ว ออกดอกแล้ว เดี๋ยวมันจะเป็นผลน้อยๆ มันจะเป็นผลอ่อนๆ เราจะดูแลรักษามันเห็นไหม พิจารณาไปมันเห็น

นี่มันมีเทคนิคของมัน ไม่ใช่มั่วนิ่ม มั่วมันไปเรื่อย จิตสงบก็พิจารณากายสิ แล้วกายไหน ก็พิมพ์หนังสือกันนะ อสุภะ โอ้โฮ พิมพ์กันแจกกัน ถ้ามันพิมพ์อสุภะแจกหนังสืออสุภะได้นะ โรงพิมพ์นั้นเป็นพระอรหันต์ โรงพิมพ์นั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว แล้วแจกกันเต็มไปหมด มันเป็นเรื่องข้างนอก อสุภะมันเกิดที่ใจมันเห็น ถ้าใจเรารู้เราเห็นขึ้นมาอสุภะมันเกิดที่นี่ อันนั้นมันเป็นความปรารถนาดีของโลก โลกเขาปรารถนาดี เขาจะช่วยเหลือกัน โอ้โฮ พิมพ์หนังสือแจกนะ เป็นภาพอสุภะเต็มไปหมดเลย

เราเป็นภิกษุนะ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เวลาเกิดขึ้นมานะ การกระทำมันเกิดขึ้นมาจากจิต มรรค มรรคญาณมันเกิดมาจากไหน เวลากงจักร ความคิดที่ทำลายหัวใจของเราเจ็บแสบนัก มันมาจากไหน แล้วเวลาจะแก้จะไปเอามาจากตำราข้างนอกนั่นเหรอ ตำราข้างนอกมันเป็นปูนหมายป้ายทางให้เรารู้ เรารู้เราดูแลของเรา แล้วเราต้องฝึกให้มันขึ้นมาได้

ถ้าเราฝึกขึ้นมาได้เห็นไหม ดูสิความเร็วของแสง ความเร็วของแสงเขารู้ได้อย่างไร เพราะเขาทดสอบเห็นไหม นี่ความเร็วของใจ ถ้าสติปัญญาเราไม่ทัน เราจะยับยั้งมันอย่างไร ถ้าสติปัญญาเราเร็วกว่าแสง เรายับยั้งสิ่งที่มันส่งออกให้มันสงบระงับได้ พอสงบระงับได้มันมีกำลังของมัน มีกำลังแล้วมีความรู้สึก อย่างนี้สมาธิมีกำลัง มีกำลังมันเป็นกายของมัน พอมันเป็นกายของมันสะเทือนเป็นอะไร มันก็สะเทือนกับมาสู่ใจ เพราะใจมันสะเทือนมาก นี่ไงมันเกิดที่นี่ อสุภะมันเกิดที่นี่ อสุภะมันเกิดที่จิตนั้นรู้นั้นเห็น นั้นวิปัสสนา นั้นพิจารณา อสุภะมันไม่ใช่เกิดที่กระดาษ

เวลาในวิสุทธิมรรคเห็นไหม เวลาจะไปเที่ยวป่าช้า ในวิสุทธิมรรคบอกเลย ให้ไปเหนือลม อย่าไปใต้ลมนะ ถ้าไปใต้ลมได้กลิ่นก่อนมันเข้าไปไม่ไหวหรอก ให้ไปเหนือลม ดูลมพัดทางไหน ให้ไปเหนือลมแล้วทำจิตให้สงบ เพ่งอสุภะแล้วหลับตา ถ้ามันมีภาพติดนะ เรากลับมาพิจารณาภาพนั้นต่อได้ ถ้ามันเพ่งภาพนั้นไม่ติดเพราะมันไม่มีสติ มันไม่มีสมาธิ มันเพ่งไม่ติดหรอก มันก็ไปเห็นแต่กายนอก เห็นกายนอกมันก็สลดใจ เห็นกายนอก กายใน กายในกาย เห็นกายนอกมันเป็นสมถะ เห็นกายนอกเห็นแล้วจิตใจมันไม่กระด้าง

ถ้าเราไม่ไปเห็นซากศพเห็นไหม นี่มรณานุสติ เห็นความตายคิดถึงความตายเห็นไหม หางตกเลย เวลามันหางตกมันจะเข้าสู่สมาธิ ถ้าเวลามันหางตกเห็นไหม จิตมันไม่คึกคะนองออกไป เขาไปพิจารณามันเป็นสมถะ แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว พอจิตมันสงบแล้ว มันเห็นภาพขึ้นมา นั่นนะเห็นกาย ถ้ามันเห็นกาย เห็นกายอย่างไร เห็นกายวิภาคะมันจะแยกส่วนอย่างไร เห็นกายอย่างไร

นี้คืออริยทรัพย์ นี้คือทรัพย์สมบัติของเรา ทรัพย์สมบัติที่เราแสวงหา เขาขุดเหมืองขุดทองกัน เขาหาทองคำ เราขุดหัวใจของเรา ขุดในสติปัญญาของเรา ใช้สติใช้ปัญญาขุดความรู้สึกนึกคิด ฝึกภวาสวะ จิตปฏิสนธิจิต จิตนี้เวียนตายเวียนเกิด เราใช้มรรคใช้สิ่งต่างๆ ขุดค้นมัน ค้นหามัน เป็นประโยชน์กับเรา

เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เวลามันจองหองพองขน มันชูหาง มันเป็นเรื่องทิฏฐิมานะ ออกไปทางโลกทั้งนั้นเลย แต่ถ้ามันหางตกนะ กิเลสถ้ามันหางตกได้ มันจะย้อนกลับเข้ามาสู่จิตดวงนั้น ถ้าสู่จิตดวงนั้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการทวนกระแสเข้าไปสู่สัจธรรม ถ้าส่งออกมันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก การศึกษา การเผยแผ่ เขาใช้ปัญญาเพื่อการศึกษา เพื่อให้ได้ปูนหมายป้ายทางในธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราอยากได้มรรคได้ผล มันตั้งแต่หางตก จิตมันสลดสังเวช มันจะย้อนเข้าสู่ตัวมัน ถ้าการย้อนเข้าสู่ตัวมัน นั่นคือภาคปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัตินะ การเผยแผ่เขาใช้วิชาการทางสุตมยปัญญา เพราะมันเป็นทางวิชาการที่สื่อความหมายเป็นปรัชญาสื่อกับโลกกัน

แต่ธรรมะเวลาจะสื่อในภาคปฏิบัติ สื่อถึงสัจธรรม มันจะสื่อเข้าสู่หัวใจ ถ้าหัวใจมันหางตก มันเข้าไปสู่สัจจะความจริง มันรื้อค้นของมัน แล้วมันจะได้ประโยชน์ของมันเห็นไหม ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ไม่มีเหตุไม่มีมรรค ผลไม่มี โสดาปัตติมรรคก็โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรคก็สกิทาคามิผล อนาคามิมรรคก็อนาคามิผล อรหัตตมรรคก็อรหัตตผล ไม่มีเหตุ ผลไม่มี! มันต้องมีเหตุมีผลของมัน ไม่ใช่มั่วนิ่มๆ มั่วนิ่มไม่มี ต้องสัจจะความจริงมันจะไปเกิดขึ้น

นี่ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นนักบวช เราเป็นนักพรต เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราต้องตั้งสติตั้งปัญญาของเรา แล้วพยายามสร้างขึ้น ให้เกิดขึ้นในหัวใจของเรา แล้วเราจะเข้าใจ รู้จริง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง เป็นความจริงในหัวใจของเรา เอวัง